" "
บทความ

เควินเดอ บรอยน์ ยอดกองกลางระดับเวิร์ดคลาส ที่แมนฯ ซิตี้ขาดไม่ได้

เควินเดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ที่เชลซีไม่เคยเห็นค่า สู่คนสำคัญของซิตี้ เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ระดับโลก เจ้าของท็อปแอสซิสต์ ในซีซั่นที่ผ่านมา

เควิน เดอ บรอยน์ ศูนย์กลางจอมสร้างสรรค์เกม ที่เป็นคนสำคัญที่ทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะขาดไปไม่ได้เสียแล้ว ซึ่งเดอ บรอยน์ มีจุดเด่นที่การจ่ายบอล และจินตนาการที่บางครั้งก็คาดเดาไม่ได้ จึงเป็นเรื่องยาก ที่ฝ่ายตรงข้ามจะทำการคาดเดาการเล่นของเดอ บรอยน์ได้ เพื่อจินตนาการที่เหลือล้น ประกอบกับการเล่นเป็นทีมเวิร์ค ของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้นั้น

ส่งผลให้การสร้างสรรค์เกมของเดอ บรอยน์ สามารถรังสรรค์ให้เกิดเป็นประตูได้มากมาย ด้วยการประสานงานร่วมกับผู้เล่นคนอื่น ที่เล่นในศูนย์หน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในตำแหน่งไหนก็ตาม หากว่าได้ร่วมเล่นกับเควินเดอ บรอยน์ แล้วนั้น ก็มักจะมีโอกาสทำประตูได้เสมอ นอกจากจะเป็นคนสำคัญของสโมสรแล้ว ในแคมป์ทีมชาติก็เช่นเดียวกันเดอ บรอยน์มักจะถูกเลือกให้เป็นผู้เล่น 11 ตัวจริงเสมอ

โดยจุดเด่นของเดอ บรอยน์นั้น คือการตัดสินใจที่ดีเสมอ ในจังหวะสุดท้าย ซึ่งส่งผลให้เขานั้นทำแอสซิสต์ได้ เป็นกอบเป็นกำในแต่ละฤดูกาล ยืนยันได้จากสถิติในซีซั่น 2019/2020 ที่ทำ 20 แอสซิสต์ในหนึ่งฤดูกาล ซึ่งมากที่สุดแล้วในฤดูกาลนั้น

ประวัติส่วนตัวของเดอ บรอยน์

ชื่อ : เควิน เดอ บรอยน์ (Kevin De Bruyne)

วัน/เดือน/ปีเกิด : 28 มิถุนายน คศ. 1991 (29 ปี)

สัญชาติ : เบลเยี่ยม

ตำแหน่ง : กองกลาง/กองกลางตัวรุก/ปีก

สโมสรปัจจุบัน : แมนเชสเตอร์ ซิตี้

เบอร์เสื้อ : 17

อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่าเดอ บรอยน์ ในปัจจุบันนี้ กำลังค้าแข้งอยู่กับสโมสรชั้นนำของ พรีเมียร์ ลีก อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเขาเป็นคนสำคัญที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไว้วางใจมากที่สุด จนได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเป็นครั้งคราว หากว่ากัปตันทีมตัวจริงไม่ได้ลงสนาม ด้วยความที่มีบุคลิกผู้นำ และมีวิสัยทัศน์ในการอ่านเกมที่ดีเยี่ยม ทำให้เดอ บรอยน์นั้น กลายเป็นคนที่ทีมจะขาดไปไม่ได้เสียแล้ว

ติดทีมเยาวชนของกาเฟเฟ โดรงเงิน ก่อนที่จะได้ย้ายไปร่วมทีมเกงค์

เควิน เดอ บรอยน์ เริ่มแรกเล่นฟุตบอลที่สโมสรเยาวชนของ กาเฟเฟ โดรงเงิน ซึ่งเป็นสโมสรแรกของเจ้าตัว ในเส้นทางอาชีพฟุตบอล เดอ บรอยน์เข้ามาเล่นในสโมสรแห่งนี้ ตั้งแต่ช่วงปี1997-1999 ก่อนที่จะย้ายออกไปร่วมทีมเยาวชนของ เกนต์ ตั้งแต่ปี 1999-2005 ก่อนที่จะได้ย้ายไปร่วมทีมที่ใหญ่ขึ้น ในชุดเยาวชนเช่นเดียวกันที่ผ่านมาอย่าง เกงค์ (KRC Genk) ในปี 2005-2008

โดยที่สโมสรแห่งนี้นั้น เป็นสถานที่เดอ บรอยน์ ไม่โชว์ฟอร์มการเล่นได้โดดเด่น ในตำแหน่งปีก และตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งหน้าที่ของเขาก็คือ การทำเกมรุกตั้งแต่แดนบนขึ้นไป เปิดป้อนให้กับกองหน้า หรือว่าปีก หรือว่าจะเป็นการยิงไกลด้วยตัวเอง เขาก็สามารถทำได้ เรียกได้ว่าเป็นกองกลางที่มีความครบเครื่องมากที่สุด

ในบรรดาผู้เล่นเยาวชน ในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งตัวของเดอ บรอยน์เองก็ได้รับการคาดหวังว่า จะถูกส่งไปเล่นในทีมชุดใหญ่ ในเวลาอันใกล้นี้ และถูกวาดฝันเอาไว้ว่าจะต้องก้าวมา เป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมชาติเบลเยียม ในรายการใหญ่ๆได้แน่นอน

จนกระทั่งในฤดูกาล 2008-2009 ก็ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เดอ บรอยน์ได้เกิดกับสโมสรเกงค์อย่างเต็มตัว ในทีมชุดใหญ่ ก่อนที่จะพาทีมคว้าแชมป์ Belgium Pro League ในฤดูกาล 2010-2011 ในครองได้อย่างสวยงาม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเดอ บรอยน์มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก

ที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้ ในรูปการดังกล่าว ก่อนที่ในปี 2012 ก็เป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ จากพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ อย่าง เชลซี ที่ได้ตัวเดอ บรอยน์ไปครองในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นการปาดหน้าทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมในยุโรป ที่กำลังตามจีบ และกำลังต้องการตัวเควิน เดอ บรอยน์ไปร่วมทีมเช่นเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นสู่เส้นทางลูกหนังสุดโหดของเดอ บรอยน์อย่างแท้จริง

ย้ายซบเชลซี ในปี 2012 แต่ก็ถือว่าเป็นจุดที่ต่ำที่สุด ในชีวิตการค้าแข้งของเดอ บรอยน์

หลังจากที่โชว์การเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ก็เป็นสโมสรฟุตบอลชื่อดังอย่างเชลซี ที่ได้ตัวเดอ บรอยน์ ไปร่วมทีมได้ ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกเส้นทางที่ผิดของเดอ บรอยน์ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์นั้น เดอ บรอยน์ แทบจะไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลยแม้แต่น้อย

เช่นเดียวกันกับ ผู้เล่นที่ย้ายเข้ามา ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งในภายหลังนั้น ได้พัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นปีกขวา ที่อันตรายที่สุดในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ของทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล โดยที่เชลซีในช่วงนั้น อยู่ภายใต้การทำทีมของหัวเรือจอมเฮี้ยบ

เจ้าของฉายา The Special One อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งไม่ได้ชื่นชอบและโปรดปรานที่จัดส่งเควินเดอ บรอยน์ลงสู่สนามเท่าไหร่นักซึ่งชื่นชอบที่ใช้ อังเดร เชือร์เร่ และ ออสการ มากกว่า เดอ บรอยน์ และซาลาห์ เดอ บรอยน์จึงตัดสินใจที่จะย้ายไปเล่นที่บุนเดสลีกาเยอรมนีกับสโมสร แวร์เดอร์ เบรเมน ด้วยการยืมตัวก่อนที่ทางเชลซี จะขายเดอ บรอยน์ ให้กับ โวล์ฟบวร์ก ด้วยราคา 18 ล้านปอนด์ในปี 2014

แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว บนเวทีบุนเดสลีกา เยอรมัน

ตลอดฤดูกาล 2014-2015 ที่เดอ บรอยน์ลงเล่นกับ โวล์ฟบวร์ก เขาสามารถระเบิดการเล่นสุดยอด ทั้งยิงทั้งจ่ายได้มากมาย จนติดทีมยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา ในฤดูกาลดังกล่าว ซึ่งก็เป็นที่สนใจ และได้รับการจับตามองจากทีมใหญ่อีกหลายๆทีม โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

จนสุดท้ายในฤดูกาล 2015-2016 ก็เป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้ลายเซ็นของเดอ บรอยน์ ด้วยค่าตัวแรงถึง 55 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญาร่วมทีม 6 ปี โดยสามารถประเดิมประตูแรก ในการลงเล่นให้กับแมนฯ ซิตี้ได้ ในเกมที่ 6 ของฤดูกาลดังกล่าว ในเกมที่เปิดบ้านรับการมาเยือนของขุนค้อน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก่อนที่จะพ่ายแพ้คารังไป 1-2

ร่วมงานกับเป๊ป กวาร์ดิโอล่า จนคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกได้สมัยแรกของตนเอง

ในฤดูกาล 2018-2019 เป็นฤดูกาลที่แมนเชสเตอร์ซิตี้ ระเบิดการเล่นได้อย่างสุดโหด ซึ่งรั้งตำแหน่งจ่าฝูง ตั้งแต่เกมแรกจนถึงเกมสุดท้าย ภายใต้การทำทีมของกุนซือจอมแท็กติกอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ยกระดับการเล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้อยู่ในระดับโลก กลายเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่

ของการแข่งขันในเวทีพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ อย่างเห็นได้ชัด ที่ต้องการันตีว่า คุณต้องเก็บแต้มให้ได้ 90 คะแนนขึ้นไป ถึงจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ โดยในฤดูกาลกล่าวนั้น ทีมเรือใบสีฟ้า ภายใต้การคุมทีมของเป๊ป เก็บได้ทั้งหมด 100 แต้ม ก่อนที่จะสามารถป้องกันแชมป์ได้

ในฤดูการต่อมา ด้วยการทำแต้มเหนือกว่ารองแชมป์อย่างลิเวอร์พูลแค่ 1 แต้มเท่านั้น ซึ่งปฏิเสธได้เลยว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่พาทีมบินสูง และเข้ามายกระดับทีม ให้สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างสยดสยองมากขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะการเข้ามาของเควินเดอ บรอยน์ และสตาร์ดังหลายๆราย ที่ได้ทยอยย้ายเข้ามาหลังจากที่เดอ บรอยน์ย้ายมาลงเล่นที่นี่

ติดตามวิเคราะห์บอลได้ที่ https://www.footballmoment.com/

@footballmoment