" "

แชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของ บาเยิร์น มิวนิค และ เซบีย่า

รูดม่านปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับฤดูกาล 2019-20 ของศึกฟุตบอลยุโรป

ทั้งโทรฟี่หูใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และถ้วยเล็กใบใหญ่อย่าง ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก

รูดม่านปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับฤดูกาล 2019-20 ของศึกฟุตบอลยุโรป

 

ซึ่งปรากฏว่าแชมเปี้ยนอย่าง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค และ เซบีย่า ต่างผงาดคว้าเกียรติยศสมัยที่ 6 ของตัวเองได้อย่างประจวบเหมาะ วันนี้ Football Moment จะมาสรุปรวบยอดความสำเร็จของสโมสรดังจากเยอรมนีและสเปนกัน

“เสือใต้” จ้าวยุโรปไร้เทียมทาน

บาเยิร์น มิวนิค กลายเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยสถิติชนะ 100% เดินหน้ากวาดชัยตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม 6 นัด กรุยทางเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ เล่นเหย้า-เยือนปราบ เชลซี (อังกฤษ) ลงได้ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนลงเตะสนามกลางแบบนัดเดียวไล่น็อก บาร์เซโลน่า ของสเปน 8-2 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ตามด้วยดับซ่า โอลิมปิก ลียง จากฝรั่งเศส 3-0 รอบตัดเชือก และก็ตอกความช้ำใจให้แก่วงการลูกหนังเมืองน้ำหอม ด้วยการเฉือนชนะ ปารีส แซงต์แชร์กแมงค์ ลงได้ 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศที่ เอสตาดิโอ ดาลุซ ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส

จากชัยชนะอันสมบูรณ์แบบของพลพรรค “เสือใต้” นำมาซึ่งแชมป์ฟุตบอลยุโรปถ้วยใบใหญ่สมัยที่ 6 โดยแบ่งเป็นยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัยติดต่อกันในปี 1974-76 จากนั้นเมื่อสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า มีการรีแบรนด์ชื่อรายการนี้เป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตั้งแต่ปี 1992 บาเยิร์น มิวนิค ก็มาฟาดแชมป์ไปอีก 3 สมัย ในฤดูกาล 2000-01 , 2012-13 และล่าสุด 2019-20

ซึ่งแชมป์ในซีซั่นนี้ ต้องยอมรับในความครบเรื่องของ บาเยิร์น มิวนิค อย่างแท้จริง รวมถึงต้องปรบมือให้กุนซือโนเนมอย่าง ฮันส์-ดีเตอร์ ฟลิค ที่ขยับจากตำแหน่งผู้ช่วย เข้ามาเสียบเก้าอี้กุนซือแทน นิโก้ โควัช ที่ถูกปลดออกไปเมื่อปลายปี 2019 โดยช่วงแรก ฟลิค แบกรับความกดดันอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่พักหนึ่ง กุนซือวัย 55 ปี ก็แสดให้เห็นถึงกึ๋นที่ไม่ธรรมดา

เริ่มตั้งแต่แท็คติก นอกจากศาสตร์เรื่อง “เกมบุก” คือ “เกมรับ” ที่ดีที่สุดแล้ว ฟลิค ยังใส่เกมเพรสซิ่งกดดันคู่แข่งแบบที่แฟนๆ บาเยิร์น มิวนิค ไม่เคยเห็นในยุคสมัยไหนมาก่อน ซึ่งการจะกดดันคู่แข่งได้เกือบตลอดทั้งเกมขนาดนี้ คงไม่ต้องบอกว่า ฟลิค เคี่ยวเข็ญลูกทีมในเรื่องของพละกำลังความฟิตของร่างกายมากน้อยแค่ไหน แต่มันก็ได้ผลที่คุ้มค่ามิใช่หรือ ในเมื่อ “เสือใต้” จัดการเพรสซิ่งตั้งแต่แดนบน ตัดโอกาสที่บอลจะไปถึงเพลย์เมคเกอร์คู่แข่งได้ปั้นเกมง่ายๆ ยกตัวอย่างในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ใครเคยเห็น บาร์เซโลน่า อยู่ในสถานการณ์เข้าตาจน บอลเคลื่อนไปไม่ถึง ลิโอเนล เมสซี่ นั่นจึงทำให้เกมบุกบาร์ซ่าชะงักงัน และมาถึงเกมนัดชิงชนะเลิศ เกมเพรสซิ่งของ บาเยิร์น มิวนิค ทำให้บอลถึงเท้า คิเลี่ยน เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์ แทบจะนับครั้งได้ เมื่อไม่มีสองคนนี้พาบอลไปกับตัว เกมรุกของ เปแอสเช แทบเป็นอัมพาต โอกาสลุ้นทำประตูของ “เปแอสเช” ในรอบชิงมีเพียง 8 ครั้งเท่านั้น ซึ่งมันผิดธรรมชาติบอลสายบุกอย่าง ปารีส แซงต์แชร์กแมงค์ จริงๆ

นอกจากการวางแผนอันยอดเยี่ยมของโค้ช ย่อมต้องให้เครดิตแข้ง “เสือใต้” ทุกคนที่ช่วยกันทำผลงานได้ชนิดไม่มีขาดตกบกพร่อง ขุมพลังชุดนี้ไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อมารวมตัวกันมันกลับลงตัวอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้ง บาเยิร์น มิวนิค โชคดีมีนักเตะอเนกประสงค์อยู่หลายคน อย่างกองหลังการขยับ ดาวิด อลาบา ซึ่งแต่ไหนแต่ไรเล่นเป็นแบ็กซ้ายมาตลอด เข้ามายืนเซ็นเตอร์คู่ เยโรม บัวเต็ง ทำให้ อลาบา สามารถนำความเร็วที่ตัวเองมีอยู่มาช่วยสอดรับจังหวะที่ บัวเต็ง อาจจะช้าไป ในทางกลับกัน บัวเต็ง ก็ใช้ความสูงใหญ่ของร่างกาย ช่วยงาน อลาบา ในจังหวะเจอบอมบ์ลูกโด่งได้เช่นกัน อีกทั้ง “เสือใต้” ยังมีอาวุธลับอย่าง โจชัว คิมมิช ที่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่านักเตะคนนี้สารพัดประโยชน์จริงๆ เล่นมิดฟิลด์ตัวรับก็เนียนตา ถอยลงมายืนแบ็กขวา คุณประโยชน์เหลือคณา และก็เป็น คิมมิช ที่แอสซิสต์วางบอลน้ำหนักเหมาะเหม็งให้ คิงสลีย์ โคม็อง โขกประตูชัยให้ทีมบดชนะ ปารีส แซงต์แชร์กแมงค์ ไปได้นั่นเอง

โดยความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับ “เสือใต้” ณ วันนี้ ต้องบอกว่าพวกเขามีเคมีที่ลงตัว ผลักดันดาวรุ่งขึ้นมาเติมชุดใหญ่อยู่เสมอ ในขณะที่เหล่าจอมเก๋ายังลงสนามกันแบบลืมแก่กันอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็น โธมัส มุลเลอร์ หรือ “มิสเตอร์ ไนซ์กาย” ชาวโปแลนด์อย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ถึงวันนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการเป็นเพชฌฆาตเขี้ยวคมกริบในวัย 32 ปี ส่วนปราการด่านสุดท้าย เพื่อนร่วมทีมบาเยิร์น มิวนิค เบาใจได้เสมอยามมี มานูเอล นอยเออร์ ลงเฝ้าเสา ซึ่งการได้ชูโทรฟี่แชมป์ยุโรปถ้วยใบใหญ่ในปีนี้ นายทวารกัปตันทีมวัย 34 ปี คู่ควรกับการได้รับเครดิตเช่นกันจากจังหวะเซฟสำคัญๆ ซูเปอร์เซฟหลายครั้งของ นอยเออร์ ทำให้นึกย้อนไปถึง ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ยักษ์โขมดแห่งเทพนิยายเดนส์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มักกางแขนกางขาทำตัวให้ใหญ่เข้าไว้ ในจังหวะปักหลักป้องกันอยู่หน้าประตู สไตล์เดียวกันเลยจริงๆ อีกทั้ง นอยเออร์ ยังถือเป็นผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าได้ดีที่สุดของโลก ณ ปัจจุบันก็ว่าได้ การออกบอลที่แม่นยำ การอ่านเกมคู่แข่งอยู่ตลอด มันจึงเหมือนว่า “เสือใต้” มีผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ 11 คน อย่างไรอย่างนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม บาเยิร์น มิวนิค ถึงดูเหมือนมีนักเตะในสนามที่มากกว่าคู่แข่งอยู่เสมอ เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครที่คิดจะสยบ “เสือใต้” แห่งเมืองเบียร์ให้ศิโรราบทั้งใน บุนเดสลีก้า และเวทียุโรปในฤดูกาลหน้าหรือซีซั่นต่อๆ ไป คงต้องตีโจทย์ แก้เกมของ บาเยิร์นฯ ให้ขาดเสียก่อน

“เซบีย่า” คิง ออฟ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก

สิ้นเสียงนกหวีดที่ ไรน์ เอร์เนกี้ สตาดิโอน สังเวียนแข้งนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ฤดูกาล 2019-20 ที่เยอรมนี ผลการแข่งขันเป็นอันว่า เซบีย่า ประกาศศักดาคว้าแชมป์สโมสรยุโรปถ้วยใบเล็กมาครองได้เป็นสมัยที่ 6 จากการพลิกกลับมาเฉือนชนะ อินเตอร์ มิลาน ยอดทีมของอิตาลี 3-2 พร้อมกันนี้ ทีมจากสเปนยังทำสถิติไร้เทียมทานรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ เข้าชิงบอลถ้วยยุโรปทีไร เป็นแชมป์มันได้ทุกครั้งไป

นอกจากฉายา “คิง ออฟ ยูโรป้า ลีก” เซบีย่า ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น “ทีมจอมคัมแบ็ก” อีกด้วย เพราะในนัดชิงชนะเลิศ เป็นอีกครั้งที่พวกเขาตกเป็นรองคู่แข่งไปก่อน โรเมลู ลูกากู ยิงจุดโทษให้ “งูใหญ่” ฉกนำ 1-0 ตั้งแต่ต้นเกมนาทีที่ 5 และนี่ก็เป็นประตูเร็วสุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์นัดชิงฟุตบอลยุโรปถ้วยใบเล็ก เป็นรองแค่ มาร์คุส บับเบิ้ล ที่ทำให้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ อลาเบส อย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 3 ในนัดชิงยูฟ่า คัพ เมื่อปี 2001

การตกเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่งไปก่อน ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ เซบีย่า เพราะพวกเขาเคยผ่านสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว อย่างรอบรองชนะเลิศก็โดน บรูโน่ แฟร์นานเดส ซัดจุดโทษให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำไปก่อนตั้งแต่ต้นเกมเหมือนกัน แต่สุดท้าย เซบีย่า สวมหัวใจนักสู้สยบ “ผีแดง” ลงหม้อถ่วงน้ำได้สำเร็จ และในนัดชิงก็เหมือนกัน ตกเป็นรองแล้วไง ลุค เดอ ยอง เบิ้ลสกอร์ให้ เซบีย่า แซงนำ 2-1 แม้ ดีเอโก้ โกดิน โขกตีเสมอ 2-2 ให้ อินเตอร์ มิลาน แต่ เซบีย่า ก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เดินหน้าบุกกดดันใส่ “งูใหญ่” จนในที่สุดแล้ว ดีเอโก้ คาร์ลอส ก็มาแก้ตัว เติมขึ้นมาตีลังกายิงลูกเซตพีช บอลแฉลบเท้า ลูกากู เปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเอง ส่งให้ เซบีย่า คว้าแชมป์ยุโรปถ้วยใบเล็กได้เป็นสมัยที่ 6 แบ่งเป็นแชมป์ ยูฟ่า คัพ 2 สมัย ในฤดูกาล 2005-06 , 2006-07 ก่อนที่จะมีการรีแบรนด์เปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก นับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่ง เซบีย่า ก็กวาดแชมป์มาได้อีก 4 สมัย เป็นการทำได้ 3 สมัยรวดในปี 2014-2016 ก่อนมาได้ชูโทรฟี่แห่งเกียรติยศอีกครั้งในปี 2020 นี้

หากพูดถึงฮีโร่กับความสำเร็จที่เกิดขึ้นตรงนี้ คนแรกต้องยกให้ ฆูเลน โลเปเตกี กุนซือวัย 53 ปี ที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขามีของอยู่ในตัวอีกเพียบ เพียงแต่ที่ผ่านมาได้โอกาสจากทีมชาติสเปนน้อยเกินไป ทั้งที่นำทัพ “กระทิงดุน้อย” กวาดแชมป์ทั้งชุดยู 19 ปี และยู 21 ปี ในส่วนของสโมสร พอได้กลับมาทำงานยังบ้านเกิดอีกครั้ง ก็อยู่ได้ไม่นานกับ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ที่รอความสำเร็จนานไม่ได้จริงๆ โลเปเตกี จึงระเห็จมาสร้างชื่อกับ เซบีย่า และด้วยการมีขุมพลังแข้งหนุ่มฝีเท้าดีอยู่ในมือ ฤดูกาล 2020-21 โลเปเตกี พร้อมที่จะเขย่าวงการ ลา ลีก้า รวมถึงฟุตบอลยุโรปถ้วยใบใหญ่ของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เดี๋ยวได้รู้กัน

โดยอีกหนึ่งเครดิตที่ต้องยกให้ โลเปเตกี คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้ต่อลูกทีมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นตัวจริง ดาวรุ่ง หรือแม้แต่นักเตะสำรองอย่าง ยาสซีน โบโน่ นายทวารมือ 2 ที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าเสาในยูโรป้า ลีก ซึ่งผู้รักษาประตูโมร็อกโก ถือเป็นปัจจัยสำคัญนำ เซบีย่า มาถึงจุดนี้เช่นกัน การเซฟจุดโทษ ราอูล ฆิมิเนซ กองหน้าวูล์ฟแฮมป์ตัน ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยังติดตราตึงใจ ไม่รวมถึงจังหวะซูเปอร์เซฟอีกมากมายในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด และ อินเตอร์ มิลาน    ด้วยผลงานขนาดนี้ โลเปเตกี คิดดร็อป โบโน่ แล้วส่งถุงมือต่อให้ โทมัส วาคลิก มือ 1 ชาวเช็ก กลับมายืนปราการด่านสุดท้ายในนัดชิงชนะเลิศ คงเป็นอะไรที่ใจร้ายเกินไป

ส่วนอีกหนึ่งนักเตะที่ต้องชื่นชมหัวจิตหัวใจคือ ดีเอโก้ คาร์ลอส จาก “ซีโร่” กลายเป็น “ฮีโร่” อย่างแท้จริง คาร์ลอส คือคนที่ทำพลาดเสียจุดโทษด้วยการไปดึง ลูกากู ตั้งแต่ต้นเกมทำให้ทีมแบกรับความกดดันตั้งแต่หัววัน แต่ก็เป็นเขาที่ขึ้นมามีส่วนสำคัญในการทำประตูชัยพาต้นสังกัดผงาดคว้าแชมป์ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ปราการหลังบราซิเลี่ยน ยังฝากสถิติไม่น่าจดจำไว้ในศึกยูโรป้า ลีก ฤดูกาล 2019-20 เมื่อเป็นนักเตะคนแรกที่ทำเสียจุดโทษถึง 3 หนในซีซั่นเดียว ต่อจากครั้งที่ เซซ่าร์ อัซปิลิกูเอต้า เคยพลาดพลั้งตอนเล่นให้ เชลซี เมื่อฤดูกาล 2012-13 ซึ่งเรื่องแบบนี้ ประสบการณ์จะสอนให้ คาร์ลอส ก้าวขึ้นมาเป็นกองหลังระดับหัวแถวของโลกต่อไป

ปิดฉากฤดูกาล 2019-20 อันยาวนานกว่าปกติของฟุตบอลยุโรป เนื่องด้วยไวรัสร้ายโควิด-19 เข้ามาป่วน แต่ไม่นานเกินรอซีซั่นใหม่ใกล้เข้ามา เมื่อหลายสโมสรเริ่มลงทำการแข่งขันในรอบคัดเลือกกันแล้ว เดี๋ยวทีมใหญ่ๆ คงทยอยลงสนาม เพื่อหาตัวแทนผ่านเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มกันต่อไป คงต้องมาดูว่าแชมป์ฤดูกาลหน้าจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปจาก บาเยิร์น มิวนิค หรือ เซบีย่า ได้หรือไม่

 

 

ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอล ใหม่สด ทุกวัน

บทความข่าวฟุตบอล :: อ่านบทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี

@footballmoment